"ลมหนาวมาเยือนแล้ว!! ขึ้นเหนือกันดีกว่าม่ะ!!" (ถามตัวเอง) คำตอบคือ (ตอบตัวเอง) ไม่ว่าง...ไม่ว่าง...ไม่ว่าง...ไม่ว่าง........ธันวาก็แล้ว มกราก็แล้ว ก็ยังไม่ว่าง...จนในที่สุด!! กุมภาพันธ์.. ก่อนจะหมดลมหนาว เราก็ว่าง เย้!! ทริปตะลอนเมืองเหนือก็เป็นอันเริ่มต้น.. 4คืน 5วัน กับ พะเยา เชียงราย และแพร่....พร้อมกันรึยัง!!
เอาหล่ะ!! รถพร้อม คนก็พร้อม ออกเดินทางกัน
....จากกรุงเทพเราเลือกใช้เส้นทางผ่าน สุพรรณ-ชัยนาท-นครสวรรค์-พิจิตร-พิษณุโลก-อุตรดิตถ์ เข้าสู่อำเภอเด่นชัย ผ่านอำเภอร้องกวาง อำเภองาว เข้าสู่ตัวเมืองพะเยา ระยะทางประมาณ 700กว่าโล เราว่าถ้ามาพะเยาเส้นทางนี้ใกล้ที่สุด จะมีช่วงอำเภอเด่นชัย ที่ต้องผ่านโค้งตัดเขา แต่ก็ไม่มีปัญหา ขับสบายๆ
ออก 6โมงเช้า ถึงกว๊านพะเยาก็ประมาณ 6โมงเย็นพอดิบพอดี พอมีเวลาเดินเล่นริมกว๊านบ้าง อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย!! เก็บกระเป๋าแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า อ้อ! เราเลือกพัก อรุโณทัยโฮมสเตย์ คืนละ 800บาทรวมอาหารเช้า
รอบๆกว๊าน มีร้านอาหารให้เลือกหลายร้าน อาหารขึ้นชื่อก็ต้องเป็นเมนูปลาต่างๆ ส่วนที่พักจะเป็นแนวโฮมสเตย์ เราแวะทานร้านจันทร์ทิพ ราคาไม่แพงแถมอร่อยด้วย

มาถึงกว๊านก็ต้องกินปลาสิน่ะ!!แต่ชอบกินกุ้งมากกว่า อิอิ!! กินอิ่มนอนล่ะ แล้วเจอกันตอนเช้าน่ะ..
...ยะฮู้ววว!!อยากบอกว่า อากาศตอนเช้าที่กว๊าน หนาวมากกกก แว็บแรกที่มาถึงคิดไว้แล้วว่าคงไม่หนาว แต่มันผิดคลาดมากๆ...เสื้อกันหนาวชั้นอยู่หนายยยยย!!
ในตอนเช้า บริเวณท่าเรือจะมีการตักบาตรเป็นประจำ จะมีพระมาคอยรับบิณฑบาตร มีร้านค้าประมาณ 3-4ร้าน มีชุดตักบาตรขาย เดินเล่นไปเรื่อยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้ชุ่มปอด กลับกรุงเทพคงไม่ได้เจอกับอากาศแบบนี้แน่
อีกอย่างที่ต้องไม่พลาดเมื่อมาที่นี่ คือการไปไหว้ขอพรกับ "หลวงพ่อศิลา" ที่วัดติโลกอาราม หรือวัดกลางกว๊านพะเยา วัดเก่าแก่กว่า 500ปี
มีรึที่เราจะพลาด!! ก่อนอื่นต้องไปซื้อตั๋วลงเรือ ที่จุดขายตั๋วที่ท่าเรือ เรือเที่ยวแรกคือ 8โมงเช้า ราคาตั๋วคนละ 20 บาทรวมหมวกกับชูชีพด้วย แต่!!ขึ้นจากเรือต้องคืนเน้อ บ่ได้ให้เน้อ!! มาม่ะขึ้นเรือแจวกัน..มาๆๆ
นั่งชมวิวระหว่างทางไปเรื่อย คุณลุงก็แจวเรือไปเรื่อย สักประมาณ 20 นาที ก็จะถึงวัด
หลวงพ่อศิลา ที่ชาวพะเยานับถือกันมาก มีเสียงคำร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์มาให้ได้ยินไม่ขาดสายตั้งแต่มาถึงที่นี่
หลังจากขอพรเรียบร้อย เราก็กลับมาเก็บเสื้อผ้าเตรียมขึ้นดอยไปชิมชาที่แม่สลองกัน แต่วันที่เราไปตรงกับวันที่ 14 กุมภา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงาน "เชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 12" (อิอิ!!ทำการบ้านมา) ยังไงก็ต้องไปเชียงรายอยู่แล้ว ขอแวะสักนิดนึงเหอะน่า
จากพะเยามาถึงเชียงรายใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว ยังมีเวลาเหลือเฟือ...ไปดูดอกไม้สวยๆกัน....
งานดอกไม้งาม จัดที่สวนตุง-สวนโคม ในตัวเมืองเชียงรายหาไม่ยาก แต่ถามทางตลอด 555+
ถ่ายรูปจนหนำใจ ก็ได้เวลาขึ้นดอยซะที ขึ้นเขา ลงเขา โค้งซ้ายที โค้งขวาที มองวิวสองข้างทางเพลินๆ เผลอแป๊บเดียวก็ถึงแม่สลองแล้ว ออกจากตัวเมือง บ่ายสองมาถึงก็สี่โมงนิดๆ เอาหล่ะเข้าที่พักกันดีกว่าโน๊ะ
คืนนี้ขอนอนพักที่ หอมหมื่นลี้ รีสอร์ท ขอบอก!!วิวหลังห้องพักสวยมากกก เก็บของเสร็จ รีบไปเดินสำรวจพื้นที่กัน แต่เดี๋ยว!!ให้ดูวิวหลังห้องพักกันก่อน
ไปสำรวจชุมชนชาวยูนนานกันต่อดีกว่า ตามมาๆน่ะค่ะ!!
คนที่นี่ส่วนมากเป็นคนเชื้อสายยูนนาน จึงใช้ภาษาจีนยูนนานเป็นภาษาหลัก
ร้านขายชา มีอยู่หลายร้าน ภายในร้านนอกจากชาแล้วก็ยังมี ผลไม้อบแห้งส่วนมากจะรับมาจากจีน ถือว่าเป็นของฝาก เมื่อมาที่นี่ก็คงต้องมีติดมือติดไม้กลับไปบ้าง
บ้านของชาวยูนนานหน้าตาเป็นแบบนี้ เป็นบ้านที่มีชั้นเดียว ตามประตูหน้าต่างจะทาสีแดง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะช่วงที่ไปเป็นเทศกาลตรุษจีนรึเปล่า ด้านหน้าบ้านมีการประดับโคมแดงไว้
มาถึงเรื่องของอาหารแล้วสิน่ะ ก็หกโมงเย็นแล้วนิ ขาหมูยูนนานเป็นงัย?? เสียดายหมด!! 555+ เลือกทานร้านชนเผ่า เนื่องจากใกล้รีสอร์ทดี
หมั่นโถวต้องห้ามพลาด
รสชาตไม่จัดจ้าน แต่ผักหวานมากกก
กินอิ่มก็เดินย่อยกลับมานั่งดูดาวหลังห้องพัก ถึงระยะทางจากร้านอาหารมาถึงรีสอร์ทแค่ 300 เมตร แต่ขาล้ามากกก เพราะต้องเดินขึ้น-ลงทางลาด เล่นเอาหอบเลย อ้อ!! มี 7-11 ด้วยน่ะค่ะ
เข้านอนก่อนน๊าาา เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเจอกัน....
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า ด้วยบะหมี่ยูนนาน อร่อยมากกกก... ราคาห้องพัก 1500 บาทรวมอาหารเช้าจร้า นอกจากบะหมี่ที่เป็นไฮไลท์ ก็จะมีขนมปัง ชา กาแฟ..กินได้จนกว่าจะอิ่มเลยน่ะค่ะ
อิ่มแล้วก็เที่ยวกันต่อเลยดีกว่า กับไร่ชา101
เขียวไปทั้งผืน สวยจัง!!
ภายในไร่ชามีชาจำหน่าย ทั้งอู่หลงก้านอ่อน อู่หลงเบอร์17 ชาหอมหมื่นลี้ ชาหอมสี่ฤดู ที่ขึ้นชื่อที่สุดคงหนีไม่พ้น อู่หลงเบอร์12 ได้รางวัลพระราชทานด้วยน่ะ
งั้นต้องชิมซะแล้วหล่ะ!!
หอมมากกก ชอบอ่ะ ขนขึ้นรถเลย รอไร 555+
ใช้เวลาง่วนอยู่กับการชิมชานานพอสมควร ก็ได้เวลาไปต่อกันแล้ว ว่าแต่ชิมไปเยอะคืนนี้จะหลับมั้ยหน๊อออ!! อีกที่ที่ต้องไปเมื่อมาถึงคือ สุสานนายพลต้วน
ก่อนทางขึ้นสุสาน มีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายชา ร้านอาหาร ร้านขายของแห้ง เรียกว่า มาแล้วได้ของฝากจากแม่สลองครบทุกอย่าง
มีแต่ของน่ารัก น่าซื้อ ทั้งนั้นเลยค่ะ อยากด้ายยย!!
ไปกันต่อเลยม่ะ!! สถานีต่อไปของเราคือ นอนเล่นริมโขงที่เชียงของ
หลังจากลงจากดอยแม่สลอง ท้องเริ่มร้อง น้ำย่อยทำงาน.. หาอะไรกินกันหน่อยเนอะ มาถึงเมืองเหนือกินอะไรดี ข้าวซอยม่ะ!! จัดปายยย!!
ข้าวซอยไก่กับข้าวกั้นจิ้นที่เสริฟมาคู่กับผักกาดดอง ร้านป้าวรรณา ทางผ่านหันมาเห็นป้ายเลยลองแวะกิน ไม่ผิดหวัง!!
ก่อนไปเชียงของแวะเที่ยวเชียงแสนก่อนสักนิดน่ะ "ดินแดนแห่งอารยธรรม"


ไทย ลาว พม่า มีเส้นกั้นเขต เป็นธรรมชาติที่งดงาม นี่แหละ "สามเหลี่ยมทองคำ"
"สบรวก" อาจเคยได้ยินกันมาบ้าง ก็คือจุดที่บรรจบกันระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำรวก กั้นระหว่างไทย ลาวและพม่า เมื่อก่อนบริเวณนี้ยังเคยเป็นไร่ฝิ่นที่ใหญ่มากอีกที่นึง แต่สิ่งที่เราเห็นในตอนนี้คือ ความสวยงามของสายน้ำที่หล่อเลี้ยงทั้ง 3ประเทศ (สาระก็มีน่ะค่ะ)
แต่ปลายทางเรายังไม่จบที่นี่ เรายังต้องไปต่อ เชียงของรอเราอยู่
ระยะทางจากเชียงแสนไปเชียงของประมาณ 50กว่าโล แรกๆคิดว่าสบายๆวิ่งเลียบโขงไปเรื่อย แต่... ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยจริงจริ๊งงง!! (บ่นอย่างกับขับเอง)
ก็แค่ขึ้นเขา ลงเขา โค้งหักศอกนิดๆ ถนนแคบหน่อยๆ..พอให้ได้ตื่นเต้นบ้าง แต่....วิวข้างทางสิ!! สวยจนต้องบอกต่อ!! คิดว่าขับขึ้นดอยแม่สลองรอบสองซะอีก
เอาเป็นว่า อย่าประมาท อีกอย่างที่ขอเตือน!! วิวสวยๆอาจทำให้คุณอยากกลับมาที่นี่อีกสักครั้ง เหมือนเรา!!
เย็นย่ำมากแล้วกว่าจะถึงที่พัก คืนที่สามของเราพักที่ เดอะริเวอร์เฮาส์ แอท เชียงของ คืนละ 800บาท ไม่รวมอาหารเช้าน่ะจ๊ะ
รู้สึกว่าอากาศที่นี่จะเย็นกว่าบนดอย เดินเล่นชายโขงไปเรื่อยๆ เห็นกระชังเลี้ยงปลาบริเวณริมโขงเต็มไปหมด
ฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศลาว เดินไปเดินมารู้สึกหิวอีกแล้ว ก็แหม๋!! กองทัพต้องเดินด้วยท้อง จริงม่ะ!! เดี๋ยวกินเสร็จก็คงง่วงนอน เจอกันตอนเช้าเลยละกันเนอะ คริคริ!!
ยามเช้ากับเจ้าปลาบึก สัญลักษณ์ของที่นี
ข้ามฟากไปยังฝั่งลาวได้ด้วยน่ะ ส่วนใหญ่เห็นจะเป็นชาวลาวที่ข้ามมาซื้อสินค้าฝั่งไทย
วันที่สี่แล้วน่ะ มีเวลาเที่ยวอีกแค่วันเดียว พรุ่งนี้ก็ต้องกลับกรุงเทพแล้ว เฮ้อ!! มื้อเช้านี้ เราไปกินข้าวที่ร้าน "ตำมิละ" อาหารอร่อย วิวสวย.. ดีเนอะ...
นั่งกินไป ชมวิถีชีวิตของคนสองฝั่งโขง มองวิวสวยๆ เหมือนได้เติมพลังให้กับตัวเองก่อนกลับกรุง...
ตอนนี้ได้เวลาล่องกลับกรุงเทพกันแล้ว ขากลับเราเลือกใช้เส้นทาง เชียงของ-เวียงแก่น เส้นทางนี้ขับง่ายเป็นทางราบไม่ต้องขึ้นลงเขา ปลายทางของเราคือ แพร่
อีกอย่างที่เลือกกลับเส้นทางนี้ เพราะมีที่อีกที่หนึ่ง ที่เราควรจะไป
"วนอุทยานพญาพิภักดิ์"
นี่คือสิ่งที่ทำให้เราต้องมาเห็นด้วยตาถึงที่นี่ จากพื้นราบขึ้นมาถึงบนนี้ระยะทางเพียง 6โล เส้นทางค่อนข้างโหด ทางขึ้นลาดชันมาก โค้งหักศอก ทำให้นึกถึงถนนลอยฟ้าที่บ่อเกลือ ยังไงหยั่งงั้นเลย แต่...สิ่งที่เราได้เห็นกลับเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด นั่นคือ"รอยเท้าของพ่อ"
หากขับรถเลยเข้ามาจะพบหมู่บ้านที่ครั้งนึง ในหลวงของเราก็เคยเสด็จมา เส้นทางนี้ยังเป็นทางลัดที่จะไปภูชี้ฟ้าอีกด้วย จากจุดนี้ไปอีก 20โล
จากตรงนี้ชาวบ้านบอกว่า มองเห็นภูชี้ฟ้าได้ ลูกไหนละเนี่ย 555++...ไปต่อกันเถอะ เราจะไปพักที่ตัวเมืองแพร่กัน
ถึงแพร่ประมาณ 5โมงกว่า แต่กว่าจะถึงที่พักก็ 6โมงเย็นเพราะหาที่พักไม่เจอ ตามเคย... 555+ เข้าพักที่ โรงแรมอมรรักษ์ คืนละ 790บาทรวมอาหารเช้า
คืนสุดท้ายแล้ว นอน นอน...นอน..
เช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง ก่อนกลับแวะขอพร "พระธาตุช่อแฮ" พระธาตุคู่เมืองแพร่ บันไดหลายขั้นเนอะ ถ้าหากใครไม่อยากเดินขึ้นบันได ทางวัดก็มีลิฟท์ให้บริการด้วยน่ะ
ก่อนทางขึ้น มีร้านขายของที่ระลึกหลายร้านเลย ส่วนใหญ่ก็จะขาย ผ้าม่อฮ่อม ของขึ้นชื่อเมืองแพร่เขาหล่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะมัวแต่ช๊อปเพลิน อิอิ!!
ที่สุดท้ายก่อนกลับจริงๆแล้วน่ะ บังเอิญมองเห็นป้ายน้ำตกระหว่างทางไปพระธาตุช่อแฮ ถึงรู้ว่าจะไม่ค่อยมีน้ำ แต่ก็อยากไปปปป... ก็ใจมันรัก ฮิ้ววว!!!
น้ำตกเชิงทอง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน
ระหว่างทางเงียบมาก เพราะมีแค่เราสองคนที่มา วังเวงอยู่เหมือนกัน แต่ไหนๆก็เข้ามาล่ะ ขอเดินชมหน่อยละกัน
น้ำเย็นอย่างกับแช่น้ำแข็งสัก 10ถัง ช่วงนี้ยังสวยเลย ช่วงฤดูฝนคงยิ่งสวยมากเลยแน่ๆ
สนุกมากกับทริปนี้ เป็น 4คืนกับ5วัน ที่คุ้มค่าที่สุด ถ้าจะให้เล่าละเอียดกว่านี้คงต้องเล่ากันยาวววว ฟังม่ะ!!! อย่าดีกว่าโน๊ะ!! ถึงบ้านก็4ทุ่มพอดี ได้เวลานอนอีกแล้ว บ๊ายบายล่ะกัน!! ไว้ไปเที่ยวไหนก็จะมาเม้าท์ให้ฟังอีกน่ะค่ะ
สวีดัส!! สวัสดี!! ราตรีสวัสดิ์!! แล้วมาเจอกันอีกน่ะค่ะ!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น